ญี่ปุ่น จุดหมายในดวงใจของใครหลายคน ที่บอกอย่างนั้นนั่นเป็นเพราะความน่ารัก ช่างเอาใจใส่ของประเทศเขา รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้าม แต่ญี่ปุ่นเขานำมาพัฒนาต่อได้อย่างคาดไม่ถึง ถ้าจะให้ยกตัวอย่างเราก็คงอธิบายไม่ถูก ใครเคยไปก็คงจะคิดเหมือนผมแน่ ๆ ส่วนคนที่ไม่เคยก็ต้องมาพิสูจน์กันเอง แต่รับรองเลยว่า จะต้องหลงรักเหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้
FUKUSHIMA : My best memories in Japan
Fukushima เป็นญี่ปุ่นครั้งที่ 3 ของผม ก่อนหน้านี้ก็มีไป Chiba / Tokyo แล้วก็ Osaka / Kobe ซึ่งมีคนจัดการโปรแกรมการเดินทางให้ทั้งหมด แต่ Fukushima (ฟุคุชิมะ) เป็นทริปแรกที่ผมต้องวางแผนและเดินทางด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งมันก็ไม่ยากแล้วก็ไม่ง่ายในคราวเดียว ทริปนี้จึงถือเป็นใบเบิกทางในการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าสุด ๆ
ฟุคุชิมะ เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยนิยมไป เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเมื่อหมายปีก่อน คนก็เลยไม่กล้าไปเที่ยว เพราะกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ แต่ตอนนี้ฟุคุชิมะกลับฟื้นจากสภาพนั้นแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ ปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในทุกด้าน ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม ผู้คนน่ารัก อาหารอร่อย และระบบขนส่งที่แสนสะดวกสบาย แม้จะเป็นเมืองย่อย ๆ ตามชนบทก็ตาม
ก่อนออกเดินทางผมกังวลมากว่าจะรอดมั้ย เพราะคนญี่ปุ่นแทบจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย แต่มันก็ไม่ยากอย่างที่คิด ที่รอดมาได้เพราะ http://www.hyperdia.com เว็บไซต์ที่เอาไว้ดูตารางเดินรถไฟทั่วญี่ปุ่น คือมันฉลาดและแม่นยำมาก เราแค่ Search ต้นทางกับปลายทางที่เราจะไป ระบุวันที่พร้อมเวลาตั้งต้น เท่านี้ระบบก็จะคำนวนให้ เช่นเราระบุว่า 4 โมงเย็น มันก็จะขึ้นมาเลยว่า ตั้งแต่ 4 โมงเย็นมีรถไฟรอบไหนบ้าง เราแค่ต้องจำเวลารถไฟออกให้ได้ ไม่ยากเลยจริง ๆ ดูภาพประกอบตามได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางรถไฟชินกันเซน รถไฟระหว่างเมืองอื่น ๆ หรือรถไฟในเขตชนบท ก็สามารถเช็คได้ทั้งหมด ตรงเวลา แม่นยำมาก ถ้าเพื่อน ๆ งง เวลาอยู่ที่สถานีว่าเราต้องไปขึ้นขบวนรถที่ชานชาลาไหน ให้ดูที่เวลารถออกเป็นหลัก ทุกสถานีจะไม่มีภาษาอังกฤษ แต่ตัวเลขจะตรงกับเว็บที่เราเช็ค เดินตามตัวเลขนั้นไป ยังไงก็ขึ้นไม่ผิดขบวน
แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้น เราจะต้องซื้อ Pass ก่อน เนื่องจากเราไปหลายวัน การจะขึ้นรถไฟเป็นเที่ยว ๆ จะแพงมาก โดยเฉพาะชินกันเซน การซื้อตั๋วเป็นพาสจะคุ้มกว่ามาก โดยที่ฟุคุชิมะ เราต้องซื้อเป็น JR East Pass (Tohoku Area) ใช้ได้ 5 วัน ถ้าเราไปมากกว่านั้น ก็เป็นเรื่องของการวางแผนของแต่ละคนว่าจะใช้สอยพาสอย่างไรให้คุ้มเวลามากที่สุด ซึ่งเราสามารถซื้อจากเมืองไทยได้เลย แต่ตัวผมซื้อที่สถานีรถไฟสนามบินนาริตะ ดูป้ายสีแดงไว้ให้ดี อย่าไปซื้อฝั่ง West ล่ะ
เมื่อซื้อพาสเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทาง โดยเราต้องขึ้นขบวนที่ชื่อว่า NEX วิ่งจากสนามบินนาริตะไปยังสถานี Ueno Tokyo เพื่อจะต่อรถไฟหัวกระสุนชินกันเซนไปยังเมือง Fukushima จุดหมายหลักของเรา

มีพาสแล้วเข้าช่องพิเศษได้เลย
ต้องบอกก่อนว่าที่จังหวัดฟุคุชิมะ จะมีเมืองย่อย ๆ เยอะมาก หนึ่งในนั้นก็คือฟุคุชิมะ ที่ชื่อเหมือนจังหวัดนั่นแหละ เปรียบเหมือนจุดศูนย์กลางหลักของจังหวัด โดยในวันแรกเมื่อเรามาถึงอากาศก็ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร เราจึงยังไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ใช้เวลาไปกับการวางแผนการเดินทางที่โรงแรมแทน มาเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ยวางแผลนมาคร่าว ๆ พอ แล้วค่อยมาจัดการที่หน้างานอีกที เพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องเวลา การวางแผนทริปแบบวันต่อวันจึงเป็นเรื่องปกติมาก ๆ
ออกจากสถานีก็เจอโรงแรมที่เราพักทันที APA Hotel เหตุผลที่เลือกเพราะอยู่ติดสถานี ไม่ต้องเดินไกล และอยู่ใกล้กับสถานีรถบัสที่จะพาเราไปจุดหมายแรกของเราในวันรุ่งขึ้น นั่นก็คือ Mount Azuma นั่นเอง …
บอกเกร็ดข้อมูลกันไปเยอะแล้ว ทีนี้เราจะพาไปเที่ยวแบบ Nonstop ละนะ เริ่ม …
Mount Azuma
เข้าวันที่สอง อากาศก็ไม่มีทีท่าจะปราณีเราแม้แต่น้อย ฝนห่าใหญ่ยังคงเล่นงานเราอย่างหนัก แต่ยังไงทริปที่วางไว้ยังต้องดำเนินต่อ เราออกจากที่พักเดินทะลุสถานีมาอีกฝั่งเผื่อจะขึ้นบัสไป Mount Azuma รอบเวลา 10 โมง 50 เรื่องเวลาผมไม่ค่อยชัวร์เท่าไร ทางที่ดีควรมาก่อน 10 โมงครึ่ง โดยตั๋วไปราคา 1,810 เยน ตั๋วกลับ 1,330 เยน แนะนำให้ซื้อพร้อมกันที่จุดซื้อตั๋วบริเวณป้ายเลย

จุดขึ้นรถ ชานชาลาที่ 11
แม้ฝนจะตก แต่เรื่องราวของสองข้างทางระหว่างที่รถเคลื่อนผ่าน มันช่างสะกดใจซะเหลือเกิน ความชื้นแฉะของสายฝน นั้นช่วยขลับให้ต้นไม้ใบหญ้ามีความเข้มข้นของสี สายหมอกที่คละคลุ้งไปตามซอกเขา เป็นภาพที่เราไม่อาจละสายตาได้เลยจริง ๆ
ไม่เกินสองชั่วโมง รถก็มาจอดที่จุดหมาย เราเข้าไปหลบฝนกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่พร้อมต้อนรับเราด้วยอาหารต่าง ๆ สามารถกดที่ตู้ซื้อได้ตามใจชอบ หรือจะช้อปของฝากกลับไปก็ได้
รอแล้วรอเล่า เห็นที่พายุฝนคงจะไม่หยุดง่าย ๆ เราตัดสินใจเดินกางร่มออกไปลุยซะเลย การเดินขึ้นไปยัง Mount Azuma อดีตภูเขาไฟนั้น ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะทางอุทยานเขาทำบันไดขั้นใหญ่ให้เดินง่าย ขั้นไม่ชั้น สลับฟันปลาไต่ระดับขึ้นไป แต่พอผมไปถึงกลางทางก็สู้แรงลมไม่ไหว ตัวแทบจะปลิว ทำให้ต้องถอยทัพออกมา นี่คงไม่ใช่วันของเราจริง ๆ ซินะ ผมได้แต่เดินคอตก กลับไปถ่ายรูปเหงา ๆ ที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติอีกฟากนึงแทน ไว้จะกลับไปแก้มือใหม่นะ รอก่อน
เป็นวันหม่น ๆ แต่ไม่หมอง เพราะเรามีโอกาสได้เห็นธรรมชาติอีกโทนนึงที่แตกต่างออกไป ไดขึ้นรถบัสเที่ยวแบบจริงจังครั้งแรก เป็นความประทับใจที่ได้เห็นวิวสองข้างทางสวยแปลกตา ให้อารมณ์ดำมืด ได้ฟีลไปอีกแบบ เป็นจุดหมายที่เราไม่อยากให้พลาด ลองนึกภาพตามว่าในวันที่อากาศเป็นใจ อดีตภูเขาไฟลูกนี้จะสวยงามอลังการแค่ไหน …
หลังจากเราลงมาถึงเมือง Fukushima เรียบร้อย ก็รีบเร่งไปเอากระเป๋าที่โรงแรมเพื่อจะขึ้นรถไฟต่อไปยัง Aizu-Wakamatsu เมืองที่เราใช้เป็นจุดพักหลักในทริปนี้ และจะนอนที่นั่นทั้งหมด 4 คืนต่อจากนี้ โดยเราต้องไปลงที่สถานี Koriyama เพื่อเปลี่ยนสายซะก่อน เรื่องเวลารถไฟก็นำขั้นตอนที่ผมเขียนในตอนต้นไปปรับใช้ได้เลย
กว่าจะมาถึง Aizu-Wakamatsu ก็เล่นเอาค่ำมืด เรากินข้าวกันง่าย ๆ ที่สถานีรถไฟแล้วเข้าที่พัก Washington Hotel พร้อมที่จะเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น …
เราใช้เมืองนี้เป็นจุด Base Camp แล้วเที่ยวเป็นใยแมงมุมแบบไปเช้าเย็นกลับ โปรแกรมวันนี้เราจัดแบบสบาย ๆ แค่ 2 ที่เท่านั้น นั่นก็คือหมู่บ้านโบราณ Ouichi-Juku และ Tono Hetsuri อุทยานทางธรรมชาติที่สวยงาม โดยทั้งสองแห่งยังเป็นจุดถ่ายภาพใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมด้วยนะ
การนั่งรถไฟของเราในวันนี้เป็นขบวนท้องถิ่น Aizu Line มีสกรีนลายการ์ตูนน่ารัก ๆ ด้วย พร้อมที่จะพาเราไปยังจุดหมายแรกคือสถานี Yunokami Onsen station สถานีรถไฟสุดคลาสสิกที่มีบริการออนเซ็น และเราก็จะต้องขึ้นรถบัสที่สถานีนี้เพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปยังหมู่บ้านโบราณ Ouichi-Juku นั่นเอง
พอถึงสถานีแล้วเดินทะลุออกมา เดินไปทางซ้ายมองหารถบัสสีเขียว เพื่อที่จะขึ้นไปยังหมู่บ้าน

ความน่ารักของการซื้อตั๋วคือแถม Card มาเป็นที่ระลึก
Ouichi-Juku
ลงรถบัสเสร็จ เราไม่รอช้าเดินเข้าไปในหมู่บ้านทันที ทันใดฟ้าก็เริ่มเปิด แสงแดดเริ่มสาดลงบนเชิงเขา ฉาบต้นไม้ให้ดูสดใส ตอนนั้นผมขอทิ้งหมู่บ้านไปก่อน วิ่งทะลุไปอีกฝั่งนึง ซึ่งเป็นทุ่งกว้าง เห็นทิวทัศน์เป็นภูเขาและใบไม้เปลี่ยนสีละลานตา วินาทีนั้นผมถ่ายรูปแบบกดไม่ยั้ง คือมันโคตรสวยเลยยยยย
หลังจากถ่ายรูปจนแสงแดดจางหายไป เราก็เดินกลับเข้ามาเที่ยวในหมู่บ้าน สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรม นั่งจิบชา เดินหามุมถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ เป็นช่วงเวลาที่เพลินมากกกกกกก
แต่ที่พลาดไม่ได้คือการขึ้นไปถ่ายจุดชมวิวมุมสูง จะเห็นทั้งหมู่บ้านเลย เดินไปนิดเดียวก็ถึง แต่กว่าเราจะขึ้นไปถ่ายก็แวะตลอดทางเลย เพราะมีมุมเด็ด ๆ ให้เก็บภาพเยอะจริง ๆ
จากนั้นก็ได้เวลานั่งรถบัสกลับลงมายังสถานี เพื่อที่จะไป Tono Hetsuri จุดหมายต่อไปที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 7 นาทีเท่านั้น

แค่วิวระหว่างทางยังฟินขนาดนี้
Tono Hetsuri
เมื่อขบวนรถจอดเทียบท่า ฝนก็เริ่มตั้งเค้าอีกครั้ง อากาศช่วงนี้ช่างแปรปรวนเหลือเกิน แต่ยังไงเราก็ต้องเข้าไป เพราะ Tono Hetsuri เป็นอุทยานหิน ที่มีผาหินอายุนับล้านปีตั้งตระหง่าน แซมด้วยใบไม้หลากสีสัน พร้อมสายน้ำที่ไหลอยู่รอบด้าน ถ้าฝนไม่ตกลองนึกภาพดูว่ามันจะสวยขนาดไหน
ช่วงเวลาที่เราอยู่ที่นี่ราวสองชั่วโมง หมดไปกับการหลบฝน ได้ออกไปถ่ายจริง ๆ เพียงไม่กี่นาที เสียดายที่โชคไม่เข้าข้างเราเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไร จุดหมายในวันต่อ ๆ ไป มีให้เราได้แก้ตัวแน่นอน
วันนี้ได้ออกมาผจญภัยเต็ม ๆ ครั้งแรก ก็สนุกดีเหมือนกันนะ ขอกลับเมือง Aizu-Wakamatsu ไปพักก่อน
พรุ่งนี้ค่อยมาลุยกันใหม่
วันต่อมาเราตื่นแต่เช้าเพื่อจะขึ้นรถไฟไปยังสถานี Inawashiro จุดขึ้นรถบัสในการเดินทางไปยังทะเลสาบห้าสีในตำนาน Goshiki numa pond สถานที่ต้องห้ามพลาดอีกแห่งหนึ่งของ FUKUSHIMA

Aizu Wakamatsu Station
Goshikinuma Pond
เมื่อมาถึงสถานี Inawashiro เราก็พยายามมองหาข้อมูลการท่องเที่ยว มีเยอะแยะเลยแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด 55555 ก็อาศัยพูดชื่อสถานที่ที่เราจะไปและใช้ภาษากายในการสื่อสารกับคนที่นั่น ไม่ยากครับ

Inawashiro Station

สำหรับคนที่ลากกระเป๋ามา สามารถฝากที่สถานีได้นะ

เดินออกมานอกสถานี เพื่อรอขึ้นบัสที่เขียนว่า BANDAI TOTO BUS
หลังจากฝนตกอีกแล้วในช่วงที่เรานั่งรถไฟมา แต่พอมาถึงทางเข้าทะเลสาบ 5 สี ฟ้าก็เริ่มสงบลง ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้าง เราเดินทอดน่องอย่างสบายใจผ่านหมู่แมกไม้สองข้างทางที่ใบเริ่มร่วงหล่นเกือบหมดแล้ว
เดินเพียง 5 นาที เราก็มาถึงจุดชม Goshikinuma Pond และนี่คือความสวยงามของทะเลสาบแห่งนี้
Goshikinuma Pond ตั้งอยู่ในเขต Bandai-Asahi National Park นอกจากจุดชมทะเลสาบแล้ว เรายังสามารถเช่าเรือไปพายได้ แถมยังมีกิจกรรมเดินป่าระยะสั้นพอให้ได้ขยับร่างกายเบิร์นไขมันนิด ๆ หน่อย ๆ ระดับเรายังไงมาแล้วก็ต้องเดิน เพราะระหว่างทางจะมีทะเลสาบย่อย ๆ ให้เราได้ชม เราเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ซะเต็มปอด ท่ามกลางทิวเขาและใบไม้เปลี่ยนสีละลานตา แม้จะร่วงไปเยอะแล้วก็ตาม มันสนุกตรงที่ได้เห็นผู้คนหลากหลายวัย เข้ามาเดินอยู่ในป่าแห่งนี้ เป็นโลกใบเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสวยงามทั้งธรรมชาติและความสัมพันธ์
คนญี่ปุ่น เป็นอีกชาติที่รักสุขภาพและชอบเดินป่ามาก ตอนผมไปเดินที่ ABC เทือกเขาหิมาลัย จะเจอคนญี่ปุ่นเยอะมาก และส่วนใหญ่มาเป็นคู่รัก เขาดูมุ้งมิ้งกันไปหมด ส่วนนี้นี่ก็เจอเยอะ โดยเฉพาะคนสูงอายุ มาเดินออกกำลัง ครอบครัวพาหมามาเดิน เป็นการเดินป่าที่เพลินมาก
หลังจากใช้พลังงานจากการเดินป่าไปเกือบชั่วโมง เราก็เดินกลับมาสัมผัสอีกไฮไลท์สำคัญของที่นี่นั่นก็คือการกินไอติมรส Goshiki สีเขียวแบ่งครึ่งกับสตรอเบอร์รี่รสชาติเข้ากันมาก บอกเลยว่าต้องโดนนนนนน
ได้เวลากลับเข้าเมือง Aizu ไปเที่ยวปราสาทกัน

จุดจำหน่ายตั๋ว
อยู่เมือง Aizu มาสามวัน ขึ้นรถไฟเที่ยวก็หลายครั้ง เพื่อน ๆ คงจะเห็นว่าหน้าสถานีรถไฟ จะมีสถานี Loop Bus เที่ยวรอบเมืองอยู่ด้วย ซึ่งรถจะมี 3 แบบ สีเขียวกับสีแดง เส้นทางวิ่งคือเหมือนกัน แต่สวนทางกันแค่นั้นเอง ลองดูผังด้านล่างเป็นตัวอย่าง
การนั่ง Loop Bus เที่ยวเมืองนั้นถือว่าคุ้มค่ามากหากซื้อตั๋วแบบ One Day Pass ในราคาเพียง 500 เยน เที่ยวได้ทั่ว เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย แต่วันนี้เรามีเวลาเหลือแค่ช่วงเย็นเท่านั้น จึงจำเป็นต้องซื้อตั๋วเดี่ยวในราคา 210 เยน โดยเราจะเน้นไปเที่ยวที่ปราสาท Tsuruka Jo พร้อมเก็บแสงตะวันตกดินสวย ๆ

ลงที่ป้าย H14 (A27) ชื่อป้าย Tsurugajo Iriguchi
เมื่อลงจากรถ ทางเข้าปราสาทจะอยู่หลังป้าย เราก็เดินตามทางเข้าไป พร้อมกับซึมซับบรรยากาศของร่มไม้ และใบไม้สีเหลืองส้ม เฝ้ามองผู้คนปั่นจักรยานผ่านไปมา บวกกับแสงแดดยามเย็น มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ
Tsuruga jo Castle
Tsuruga Jo เป็นปราสาทเก่าแก่อยู่คู่เมือง Aizu Wakamatsu มายาวนาน สีขาวตั้งเด่นเป็นสง่า รายล้อมไปด้วยต้นไม้และทิวทัศน์ของเมือง บวกกับแสงสุดท้ายของวันสาดกระทบที่ตัวปราสาท เป็นภาพที่เราประทับใจมาก เราเดินหามุมถ่ายรูปจนเหนื่อยเลย น่าแปลก กับบางสถานที่ที่เราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีเลิศเลอ แต่เรากลับได้รับความสุขเกินกว่าที่คิดไว้ อาจเป็นพราะเราไม่ได้คาดหวัง ความสุขสมหวังจึงหอมหวานกว่าปกติ
หลังจากอิ่มกับการได้ถ่ายรูปจนหนำใจ ก็ได้เวลาไปหาของกินพร้อมกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน เพราะวันถัดไปคือโปรแกรมสุดท้าทาย กับการนั่งรถไฟสายทาดามิ ตะลุยเที่ยวเมืองชนบทแบบเต็มรูปแบบ

Washington Hotel ที่พักของเรา 3 คืน สะดวก สะอาด อยู่ใกล้สถานีรถบัสและรถไฟ
The Tadami Line
เช้านี้เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น กับการเดินทางด้วยรถไฟสายทาดามิ เส้นทางอันสวยงามเลื่องชื่อไปไกล กับรถไฟขบวนสีขาวเขียว วิ่งผ่านชนบท ธรรมชาติ วิวทิวเขาสุดตระการตา จุดเริ่มต้นของรถไฟขบวนนี้ก็อยู่ที่สถานี Aizu Wakamatsu ที่เราพำนักอยู่นี่เอง
เหมือนเช่นเดิมกับการเช็คเวลารถไฟที่เราบอกไปตอนแรก ส่วน JR East Pass เราก็สามารถเอามาใช้ได้ โดยเราแค่ยื่นให้เจ้าหน้าที่ในช่องพิเศษ เขาจะปั๊มในช่องแบบวันต่อวัน ใช้ได้ 5 วัน ก็มี 5 ช่อง

เมื่อรถไฟออกไปได้สักพัก เราก็เริ่มเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ระหว่างทาง
การนั่งทาดามิในครั้งนี้เราจะไปด้วยกันสองจุดด้วยกัน จุดแรกคือ Aizu-Kawaguchi ไปสำรวจสถานีสุดท้ายของขบวน และ Aizu-Miyashita เที่ยวเมือง Mishima และขึ้นไปจุดชมวิว เพื่อถ่ายรถไฟวิ่งผ่านช่องเขาในตำนาน
ช่วงสาย ๆ เราก็มาถึง Aizu-Kawaguchi อากาศก็กำลังดี วิวก็สวย เมืองนี้เขาจะเน้นไปเที่ยวแนวออนเซ็นกัน แต่เรามีเวลาไม่มากขนาดนั้น เรามาที่นี่เพื่อเดินสำสวจดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ถ้ามีโอกาสครั้งหน้า เรามาเที่ยวที่นี่แบบเต็ม ๆ เพราะมันช่างเงียบสงบ ชอบอะไรแบบนี้มาก
เดินเล่นกันพอหอมปากหอมคอ เราก็ต้องขึ้นรถขบวนเดิมย้อนกลับขึ้นมาประมาณ 4-5 สถานีเพื่อมายังอีกเป้าหมายหลักของเรา Aizu-Miyashita หรือเมือง Mishima นั่นเอง
ในที่สุดเราก็มาถึง และเรื่องราวต่อไปนี้คือความพีคคคคค
ตอนเราหาข้อมูลมา การเที่ยวเมืองนี้และการเดินทางขึ้นไปจุดชมวิวรถไฟทาดามิ คือจะมีรถรับส่งรอบ 7 โมงครึ่ง และลงช่วงสาย ๆ เพียงวันละ 1 เที่ยวเท่านั้น ถ้ามาเวลาอื่นจะต้องเรียกแท็กซี่
ซึ่งเราไม่อยากตื่นเช้าขนาดนั้น ก็กะจะมาเหมาแท็กซี่ขึ้นไป แต่พอเราไปถามศูนย์บริการท่องเที่ยว เขาบอกว่าวันนี้ไม่มีแท็กซี่บริการแม้แต่คันเดียว เงิบสิครับ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ผมคิดว่าเดินไปก็ได้วะ มันจะไกลแค่ไหนกันเชียว แค่นี้เด็ก ๆ
แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ป้ายบอกทางก็ไม่ได้ โบกรถถามทางก็ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจะสื่อสารกับเราได้ ในใจคือคิดว่านี่กูมาถูกที่ป่าววะเนี่ย 555 แต่ก็กลั้นใจเดินไปอีกสักพักก็เจอบ้านคน เลยเอารูปจุดชมวิวที่เราเซฟมาให้เขาดูก็ได้เรื่อง คุณลุงบอกทางจนเราเข้าใจ หลังจากนั้นก็เดินไปจนถึง
แต่ระหว่างทางทำเราเสียเวลาเหมือนกัน เพราะสวยซะเหลือเกินนนนน
นอกจากวิวข้างทาง เรานึกว่าจะไม่ได้เจอสิ่งมีชีวิตซะแล้ว เพราะช่วงเวลาที่เดินมาก่อนจะเจอคุณลุงที่บอกทาง เราแทบไม่เจอมนุษย์เลย มีบ้านคนจริงแต่คนไม่รู้ไปไหน แต่พอเดินขึ้นมาเรื่อย ๆ เราก็เจอกับชาวบ้านที่เป็นคุณยายกำลังเก็บผักและทำเกษตรอยู่ น่ารักมาก ๆ อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพเก็บไว้
เมื่อเดินมาเรื่อย ๆ จะเจอกับถนนใหญ่อีกครั้งให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงมาอีหน่อย ก็จะเจอจุดพักรถที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต ตรงนี้แหละคือจุดเริ่มเดินขึ้นเขาไปชมวิวรถไฟทาดามิ แต่ข่าวร้ายคือเราขึ้นมาไม่ทันช่วงเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านช่องเขา เพราะเราไม่ได้วางแผนมาเดินแบบนี้ ไหนจะเสียเวลาไปกับการถามทาง แถมตอนนี้ก็เหนื่อยมาก ๆ ด้วย ปวดขามาก คือมาคำนวนดูแล้วเราเดินขึ้นมาไกลมาก สุดจริง ๆ หมดแรง
แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ยังไงก็ต้องขึ้น ไม่ทันรถไฟก็ไม่เป็นไร ไปถ่ายมุมนั้นเพื่อให้คนอื่นได้ตามรอยก็ยังดี
จุดชมวิวมีทั้งหมด 3 จุด เราแนะนำให้ไปจุดที่ 2 คือมันไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป ไม่มีต้นไม้บัง เป็นมุมที่ดีที่สุด และภาพนี้คือสิ่งที่ทำให้เราต้องเดินดั้นด้นขึ้นมาถึงที่นี่ เสียดายที่รถไฟวิ่งผ่านไปแล้ว ครั้นจะรอถ่ายขบวนต่อไปก็จะกลับลงไปขึ้นรถไฟเพื่อที่จะกลับเมือง Aizu Wakamatsu ไม่ทัน
ข้อแนะนำคือควรจองที่พักที่ Mishima ไว้หนึ่งคืน เพื่อจะได้มีเวลา ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนเราแบบนี้ แต่การจองที่พักในเมืองนี้ค่อนข้างยาก เพราะไม่มีในระบบเว็บจองโรงแรมใด ๆ เลย วิธีเดียวคือค้นหาเบอร์โทรศัพท์ แล้วโทรไปจอง ซึ่งควรหาคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้เป็นคนติดต่อ โดยที่พักจะเป็นแบบ Air BNB
ความพีคยังไม่จบ เราถ่ายอยู่ที่มุมนั้นไม่เกิน 10 นาที ก็ต้องรีบลงแล้ว เพราะอย่าลืมว่าเราต้องเดินกลับทางเดิมซึ่งไกลมาก แล้วไม่รู้ว่าจะทันรถไฟรอบ 15.54 ที่เราวางแผนไว้รึเปล่า เพราะถ้าพลาดขบวนนี้ต้องรออีกทีทุ่มกว่าเลย แต่เดชะบุญมีรถส่งของวิ่งผ่านมา เราเลยลองโบกดู ถามว่าไปสถานีรถไฟมั้ย สรุปว่าไป เราจึงกลับลงมาขึ้นรถไฟทัน ต้องขอบคุณคนขับรถคันนั้น เพราะอีก 4 นาทีรถไฟก็มาพอดี ฉิวเฉียดสุด ๆ
ระหว่างทางกลับเมืองเราก็มานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ มันบ้ามาก ๆ เจอแต่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เราก็แก้ไขสถานการณ์และเอาตัวรอดมาได้ คือเราได้ประสบการณ์จากการเดินทางแบบจัดเต็ม มันภูมิใจในตัวเองนะ แล้วก็สร้างเสริมความมั่นใจในการเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองได้มากเลยล่ะ
จะว่าไป วันนี้ก็ถือเป็นวันที่ยอดเยี่ยมเลยล่ะ
เรายังคงกลับมาพักอยู่เมืองเดิม แต่เปลี่ยนโรงแรมมาในอีกบรรยากาศคือมานอนที่พักแบบเรียวกัง แต่เมื่อคืนเหนื่อยมาก เลยตื่นมาถ่ายรูปที่พักตอนเช้าแทน คิดถูกจริง ๆ ที่เปลี่ยนมาพักที่นี่ในคืนสุดท้ายใน Aizu เพราะมันดีมากกกกกกกกกกกก ชอบมากกก ถ้ามาอีก จะมานอนนี่ตลอดเลยยยย
Tagoto Ryokan & Cuisine
Tagoto Ryokan อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ Aizu Wakamatsu ประมาณเกือบ 3 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อคืนตอนกลับจากเมือง Mishima เราก็กะจะไปเอาของที่โรงแรม Washington แล้วเดินมา เพราะคิดว่าไม่ไกลเท่าไหร่ ซึ่งก็คิดถูก เพียงแต่ว่าทางมันมืดและเปลี่ยวเหลือเกิน ยอมรับว่ากลัวผี เลยเรียกแท็กซี่ดีกว่า 555555

เรียวกังมันเจ๋งตรงที่ได้ใส่ชุดยูกาตะนี่แหละ
อีกอย่างที่ชอบมากคือชุดอาหารเช้า ที่ใส่ใจพิถีพิถันและให้เยอะมาก ปลื้มปริ่ม ๆ
มาดูที่ห้องนอนบ้าง แน่นอนว่าจะเป็นห้องพักในสไตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นคือนอนบนพื้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่นอนนุ่มมาก ส่วนห้องน้ำนั้นเป็นแบบรวมอยู่ด้านล่าง แถมมีออนเซ็นให้แช่เบา ๆ ด้วยนะ
คืนสุดท้ายใน Aizu เป็นคืนที่มีความสุขมาก ที่ได้มาพักเรียวกังเจ๋ง ๆ แบบนี้ โดยเราจองผ่าน booking.com เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปเช็คราคาดูได้ บอกเลยว่าถูกกว่าที่อื่น ประทับใจแน่นอน
เราเช็คเอาท์ออกจากเรียวกัง แล้วเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ แบบว่าชิลล์มาก มองดูเมือง วิถีชีวิตคนในยามเช้าในแบบที่ต่างออกไป เพราะสามสี่วันแรกเราพักที่เดิม ระหว่างทางไปกลับก็จะเจอแต่มุมเดิม ๆ เราเดินไปสัก 20 นาทีก็ถึงหน้าสถานี Loop Bus เรามีเวลาสั้น ๆ ในช่วงเช้าเพื่อไปเที่ยวได้อีกนิดหน่อย ก่อนจะโบกมือลาเมืองนี้กลับไปยังกรุงโตเกียว เพื่อจะกลับเมืองไทยในวันถัดไป

วันนี้ฟ้าสวยเหลือเกิน

รถบัสคึกคักไปด้วยนักเรียน
Higashiyama Onsen Village




ทางเข้าจุดแช่เท้า
และต่อไปนี้คือมุมสวย ๆ ของ Higashiyama Onsen บอกกับตัวเองเลยว่าครั้งหน้ากูจะมานอนที่นี่!!
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ชั่วโมงกว่า ๆ เพลินไปกับการถ่ายรูป ได้เห็นแง่มุมความน่ารักของความญี่ปุ่นมากมาย รวมทั้งคุณลุงจิตรกรที่นั่งพินิจความสวยงามตรงหน้า แล้วจรดพูกันลงบนกระดาษ เราเห็นตั้งแต่มาถึงแล้วล่ะ ก่อนกลับจึงลองเข้าไปดูผลงานสักหน่อย ซึ่งคุณลุงแกน่ารักมาก อนุญาตให้เราถ่ายรูปได้ด้วย
สุดท้ายก็หมดเวลาของเราที่เมืองนี้ แอบเศร้านิด ๆ แต่ก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป เราจะจดจำ Aizu Wakamatsu อยู่ในกล่องแห่งความทรงจำตลอดไป แค่ได้เปิดรูปขึ้นมาดูเมื่อไหร่ก็สุขใจทุกครั้ง เพราะได้เห็นว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน ทั้งปัญหา อุปสรรค ความประทับใจ ทุกอย่างมันเป็นก้อนเดียวกัน ก้อนที่เรียกว่า…
“ประสบการณ์ชีวิต”
ถ้ามีโอกาส เราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง … แล้วพบกันใหม่นะ FUKUSHIMA
Leave a Reply