นั่งรถไฟไปหนองคาย เพื่อออกเดินทางพิชิตเป้าหมายหลัก จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย “บึงกาฬ” ดินแดนศิวิไลซ์ของธรรมชาติและวัฒนธรรม พบกับมุมถ่ายภาพระดับโลกที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่ไหน พร้อมเรื่องราวของมิตรภาพสุดประทับใจตลอดการเดินทาง
บึงกาฬ : เรื่องเล่าจากอีสาน ความหอมหวานของมิตรภาพ
เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟสายอีสานมรรคา หัวลำโพง – หนองคาย เป็นขบวนใหม่ตู้นอนสะดวกสบาย เราเดินทางด้วยกันทั้งหมด 4 คน และมีสองคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที เราชอบนะที่จะได้พบเจอผู้คนใหม่ ๆ ในทุกการเดินทาง มันทำให้เราสนุกและแอคทีฟอยู่ตลอดเวลา
ออกเดินทางจากหัวลำโพงตอนกลางคืน ถึงตอนเช้าจะได้เที่ยวได้เลย
การได้นั่งรถไฟเที่ยว อาจจะกินเวลานานหน่อย แต่มันเป็นยานพาหนะที่พิเศษ เราจะได้เห็นชีวิตผู้คนที่ต่างออกไป เราได้พูดคุยกันมากขึ้น มองจอสี่เหลี่ยมน้อยลง ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการเดินทาง มีเรื่องราวสนุก ๆ ที่อยากจะแชร์ถึงกัน นั่นทำให้เราทั้ง 4 คนสนิทกันได้รวดเร็วขึ้น
ไม่ช้า แสงแรกของวันใหม่ก็แย้มลอดหน้าต่าง เป็นสัญญาณที่เราต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมตัวลงสู่สถานีรถไฟหนองคาย โดยเราจะนั่งรถสกายแลปแวะกินข้าวแถวตลาด ก่อนจะขึ้นรถตู้ไปบึงกาฬ …
เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นชีวิตอีกหลายมุม
ทันทีที่เรามาถึงบึงกาฬ ก็มีเจ้าถิ่นมารับทันที เป็นรุ่นน้องสมัยมหาลัย เป็นคนบึงกาฬ ทริปนี้เขาจะเป็นคนพาเราทั้ง 4 ไปสัมผัสกับบึงกาฬอย่างเต็มอิ่ม มีเจ้าถิ่นพาเที่ยวแบบนี้ สนุกแน่นอน! โดยเริ่มจากสถานที่แรก …
สะดือแม่น้ำโขง แก่งอาฮง วัดอาฮงศิลาวาส
แก่งอาฮง หรือจุดชม “สะดือแม่น้ำโขง” ณ วัดอาฮงศิลาวาส ห่างจากตัวจังหวัด 21 กิโลเมตร ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดโดยไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ำเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น “สะดือแม่น้ำโขง” มีความกว้างประมาณ 300 เมตร
นอกจากเดินชมวัดและวิวแม่น้ำโขงที่เห็นไปยังฝั่งลาวแล้ว ที่วัดอาฮงฯ ยังมีสวนหินโบราณให้เราได้เดินถ่ายรูปเล่น สามารถปีนไปยืนในมุมเท่ ๆ ได้แต่ต้องระมัดระวังด้วยนะ และที่สำคัญห้ามขีดเขียนหินโดยเด็ดขาด
วันนั้นทั้งวัดมีแค่กลุ่มเรากลุ่มเดียวที่เข้ามาเที่ยว พวกเราถ่ายรูปเล่น วิ่งขึ้นหินกันอย่างสนุกสนาน อารมณ์เดียวกับที่เล่นตอนเด็ก ๆ กับเพื่อน แต่พวกเราไม่ได้เสียงดังนะ ต้องบอกไว้ก่อน เพราะยังไงก็ยังเป็นเขตของวัด ต้องให้เกียรติสถานที่ด้วย แต่สิ่งที่เจ๋งไปกว่านั้นคือการได้ชมพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำโขง แสงวันนั้นสวยมากจริง ๆ ได้รูปสวย ๆ เยอะเลยล่ะ
เมื่อสัมผัสความงดงามของพระอาทิตย์ตกกันแล้ว ก็เริ่มหิว เจ้าถิ่นไม่รอช้ารีบพาเราเข้าเมืองไปถนนคนเดิน หาของอร่อยลงท้องซะหน่อย ถนนคนเดินที่นี่ของกินเยอะและคึกคักว่าที่เราคิดมาก เดินกินนู้นนี่ไปเพลิน ๆ ขาช้อปก็คงถูกใจแน่นอน
ถนนคนเดิน บึงกาฬ

เราทั้ง 5 กลับมาพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวสำหรับโปรแกรมในวันต่อไป ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของเรา กับห้องเรียนธรรมชาติแสนยิ่งใหญ่ “ภูสิงห์” ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกรมป่าไม้ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ 154 ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์และป่าดงสีชมพู โดยมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่น่าทึ่ง มีหินรูปร่างแปลกตาจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ “หินสามวาฬ” อันโด่งดัง
ภูสิงห์ หินสามวาฬ
การมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่หินสามวาฬ คือ 1 ในดรีมลิสต์ของเราเลยนะ เพราะเป็นทิวทัศน์ที่สวยแปลกตา กับหินรูปร่างคล้ายหลังปลาวาฬ 3 ก้อน เปรียบเหมือนปลาวาฬ 3 ตัว ชาวบ้านเขาเรียกหินพ่อ หินแม่และหินลูก ชมวิวเบื้องหน้าเป็นทิวเขาไกลสุดสายตา เบื้องล่างเป็นต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ส่วนใหญ่เป็นป่ายาง มองไปทางไหนก็เขียวชื่นฉ่ำตาไปหมด
นอกจากหินสามวาฬแล้ว ที่ภูสิงห์ยังมีจุดท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง โดยเราตระเวนเที่ยวในโซนทิศใต้ หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็มุ่งต่อไปที่จุดชมวิวถ้ำฤาษี ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ชมวิวทิวทัศน์อีกมุมของภูสิงห์

ถัดจากหินหัวช้าง เราก็มุ่งต่อไปกำแพงหินภูสิงห์ หรือชาวบ้านจะเรียกกันว่า “ประตูภูสิงห์” เป็นกำแพงหินขนาดใหญ่มีช่องผ่าตรงกลางคล้ายประตู เป็นอีกจุดที่ถ่ายรูปสวยมาก
มีมุมเท่ ๆ ให้ปีนป่ายไปถ่ายรูปกันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องรู้จักเซฟตัวเอง อันไหนไปไม่ได้อย่าฝืน เอาเท่าที่ปลอดภัย อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อให้ได้รูปสวย ควรสวมรองเท้าที่มีดอกยางและป้องกันการลื่น
ถัดจากประตูภูสิงห์ไป ก็จะเป็น “ส้างร้อยบ่อ” มีลักษณะเป็นลานหินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีหลุม มีบ่อเล็ก ๆ นับร้อยตามชื่อ คล้าย ๆ กับสามพันโบก เป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายรูปอีกแห่งที่สวยแปลกตาน่ามาเห็นสักครั้ง
ก่อนลงจากภูสิงห์เราก็แวะลานธรรม ไหว้พระเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่
สำหรับเพื่อน ๆ ถ้าอยากมาเที่ยวที่ภูสิงห์ เราแนะนำให้ขับรถมา ขับมาจอดที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ 154 ภูสิงห์ อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ แล้วไปลงชื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ โดยต้องให้รถโฟร์วีลของทางหน่วยพานำเที่ยวเท่านั้น เสียค่าบริการเพียงท่านละ 100 บาท
แผนที่ แสดงที่ตั้ง : GPS 18.253148, 103.812333
ROO SEUK DEE Cafe & Studio
รู้สึกดี เป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ตกแต่งประดับประดาด้วยกล้องฟิล์มและเครื่องใช้เก่า ๆ เนื่องจากเจ้าของร้านนั้นเคยเป็นช่างภาพและห้องติดกันก็คือสตูดิโอถ่ายภาพที่เจ้าตัวนั้นเปิดมาก่อนนั่นเอง

และก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายของเราในช่วงเย็น นั่นก็คือการไปชมพระอาทิตย์ตกที่วัดเจติยาคิรีวิหาร หรือวัดภูทอก จุดเด่นของวัดภูทอกก็คือสะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบ ๆ ภูทอก ใช้เพียงแรงงานคนสร้าง บันไดเวียนไปมารอบภูทอกแบบ 360 ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น โดยเราต้องเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้น 3 จากนั้นจะเป็นทางเดินวนค่อย ๆ ขึ้นไป …
วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก)
ไฮไลท์สำคัญของวัดภูทอกคือพุทธวิหารที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะเป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่แต่ไม่ตกลงมา คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า มีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร เป็นที่ทำสมาธิและปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา
เราเดินวนขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อหามุมถ่ายพระอาทิตย์ดวงกลมโต พร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นว่า ต้องใช้ความศรัทธามากแค่ไหน กว่าจะสร้างสถานที่แห่งนี้ได้ ทั้งบันไดไม้และทางเดิน ต่างใช้ฝีมือคนทั้งนั้น เพราะบางช่วงก็แอบหวาดเสียวอยู่บ้าง อีกทั้งพุทธวิหาร การที่จะขึ้นมาปฏิบัติธรรมบนนี้ได้นั้น จิตใจต้องแน่วแน่มาก ๆ เพราะทั้งเงียบและสงบมากจริง ๆ แต่ถ้าหากต้องแลกด้วยการมองเห็นวิวสวย ๆ แบบนี้มันก็คุ้มค่าแหละเนอะ
แสงสุดท้ายค่อย ๆ ลาลับไป พร้อมกับสองเท้าของเรา ที่ค่อย ๆ ก้าวลงบันได ได้ยินแต่เสียงลม ทั้งลมหายใจที่เหนื่อยหอบ และสายลมที่พัดผ่านซอกหิน เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่พระสงฆ์ถึงได้นึกสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมา การมาวัดภูทอกในครั้งนี้เราได้รับความนิ่ง สติ และสมาธิกลับไปนอนกอดเป็นของฝาก เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่ได้เที่ยว ซึมซับเรื่องราวต่าง ๆ กับคนที่ชอบสิ่งเดียวกัน แล้วมิตรภาพก็ค่อย ๆ เบ่งบานอยู่ในใจ
ก่อนเราจะกลับ รุ่นน้องเจ้าถิ่นได้บอกกับเราว่า “หน้าฝนมากันใหม่นะพี่ เดี๋ยวจะพาไปน้ำตกถ้ำพระ บอกเลยว่าโคตรสวย” เรา 4 คนรีบตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด แล้วพบกันใหม่เมื่อฝนโปรยปราย … “บึงกาฬ”
ชมทีเซอร์ Video
Categories: Nonstop Thailand